Cutaneous lymphoma ในแมว
Cutaneous lymphoma ในแมวพบได้ยากแต่ถือเป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตซึ่งจำเป็นต้องบรรจุไว้ใน้ข้อวินิจฉัยแยกแยะในโรคผิวหนังหลายกรณี
หมายเลขหัวข้อ 31.1 Other Scientific
เผยแพร่แล้ว 13/01/2023
สามารถอ่านได้ใน Français , Deutsch , Italiano , Română , Español , English , 한국어 และ Українська
การที่เจ้าของแมวหลายคนกล่าวโทษว่าอาหารคือตัวการที่ทำให้แมวมีอาการทางผิวหนังนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ ในบทความนี้จะกล่าวถึงการวินิจฉัยและรักษาโรคผิวหนังจากภูมิแพ้อาหารอย่างถูกวิธี (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)
โรคผิวหนังที่เกิดจากภาวะภูมิแพ้อาหารในแมวไม่สามารถแยกจากภาวะภูมิแพ้ชนิดอื่นด้วยอาการและรอยโรคได้
อาการคันที่ไม่ขึ้นกับฤดูกาลเป็นอาการแสดงออกที่พบได้บ่อยที่สุดในกรณีภูมิแพ้อาหาร
ภูมิแพ้อาหารสามารถวินิจฉัยอย่างแม่นยำได้ด้วยการทดสอบอาหาร อาจใช้อาหารปรุงเองที่บ้าน อาหารรักษาโรคที่มีแหล่งโปรตีนที่แมวไม่เคยได้รับ หรืออาหารทำจากไฮโดรไลซ์โปรตีนเป็นเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์
การให้ความรู้เจ้าของสัตว์ป่วยจะช่วยเพิ่มความมีวินัยให้การทดสอบภูมิแพ้อาหารและเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการวินิจฉัยและการรักษา
Sarah E. Hoff
การซักประวัติเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้หากต้องการวางแผนการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงอาหารที่แมวกินซึ่งจะบ่งบอกถึงสารก่อภูมิแพ้ที่แมวมีโอกาสได้รับและแนวทางการรักษา ตัวอย่างคำถามที่ควรถามเจ้าของแมวเกี่ยวกับโรคผิวหนังอยู่ในตารางที่ 1 ข้อมูลที่ได้จากการซักประวัติจะช่วยทำให้รายชื่อโรคในการวินิจฉัยแยกแยะสั้นลงทั้งยังเป็นแนวทางในขั้นตอนต่อไป ยกตัวอย่างเช่นหากแมวมีการป้องกันหมัดไม่สม่ำเสมออาจทำให้การแพ้น้ำลายหมัดอยู่ในอันดับต้นของการวินิจฉัยแยกแยะ และหากแมวที่เลี้ยงด้วยกันหลายตัวมีอาการคล้ายกันมีโอกาสที่จะเกิดจากการติดปรสิตภายนอกหรือเชื้อจุลชีพมากกว่า
ประวัติการเจ็บป่วย | อาหารที่กิน | รูปแบบการดำรงชีวิต | ยาที่ใช้ |
---|---|---|---|
|
|
|
|
อาการที่แสดงออกของ CAFR สามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุแต่พบมากในสัตว์ที่ยังอายุไม่มากจนถึงวัยกลางคนโดยมีอายุเฉลี่ยที่เริ่มแสดงอาการอยู่ที่ 3.9 ปี และไม่มีความจำเพาะที่ชัดเจนต่อเพศและพันธุ์ 5 อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคืออาการคันโดยไม่ขึ้นกับฤดูกาล 5และมีความชุกของการเกิดร่วมกันของอาการระบบทางเดินอาหารที่หลากหลายอยู่ที่ร้อยละ 17-22 ของแมวที่เป็น CAFR 2 เมื่อเกิดร่วมกันจะพบว่าอาการของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อยในแมวที่มีภาวะภูมิแพ้อาหารคืออาเจียนตามมาด้วยท้องอืดและถ่ายเหลว3
การตอบสนองในอดีตต่อการรักษาทางยาสามารถมีได้หลากหลาย ในการศึกษาหนึ่งซึ่งทำในแมว 17 ตัวที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น CAFR พบว่าอย่างน้อยมีการตอบสนองบางส่วนต่อยาสเตียรอยด์ชนิดให้ทางระบบหรือทาภายนอก 6แต่ในการศึกษาย้อนหลังซึ่งทำในแมวป่วย 48 ตัว พบว่ามีร้อยละ 61 ไม่ตอบสนองต่อยาสเตียรอยด์ชนิดให้ทางระบบ 7 ในการศึกษาชิ้นที่ 3 ซึ่งทำในแมวที่เป็น CAFR 10 ตัว พบว่าการฉีดสเตียรอยด์ชนิดออกฤทธิ์ยาวนานไม่เกิดผลใดๆจากการบอกเล่าของเจ้าของแมว8
การตรวจร่างกายอาจพบหนึ่งในรูปแบบของปฏิกิริยาภูมิแพ้ทางผิวหนังได้แก่ อาการคันโดยไม่พบรอยโรค ขนร่วงจากการแต่งขนมากเกินไป(รูป 1), ผิวหนังอักเสบมิลิเอริ (รูป 2) และรอยโรคที่เกี่ยวข้องกับอีโอซิโนฟิลได้แก่ indolent ulcer eosinophilic plaque และ eosinophilic granuloma (รูป 3 และ 4) 2 ส่วนของร่างกายที่มักพบรอยโรคได้แก่ ศีรษะ ใบหน้า หู ด้านใต้ลำตัว และเท้า5, แต่อาการเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะต่อ CAFR โดยมีโรคอื่นมากมายที่สามารถมีอาการได้คล้ายคลึงกัน(ตารางที่ 2) การตรวจร่างกายควรใช้หวีสางหมัดเพื่อหาหมัด เหา และไร Cheyletiella spp. ซึ่งการตรวจไม่พบหมัดหรือขี้หมัดไม่สามารถตัดปรสิตออกจากข้อสงสัยได้เพราะแมวมีการแต่งขนตลอดเวลาทำให้อาจไม่พบหลักฐานการมีอยู่ของหมัด
การวินิจฉัยแยกแยะ | วิธีการวินิจฉัยที่แนะนำ |
---|---|
Flea allergy dermatitis (ผิวหนังอักเสบจากการแพ้น้ำลายหมัด) | การตรวจร่างกาย การใช้หวีสางหมัด การตอบสนองต่อการกำจัดปรสิตภายนอก การตรวจอุจจาระหาไข่พบาธิแบบลอยตัว พบพยาธิตัวตืด (Tapeworm) |
Demodex gatoi (ขี้เรื้อนเปียก) | การขูดตรวจผิวหนัง การตอบสนองต่อการกำจัดปรสิตภายนอก การตรวจอุจจาระหาไข่พบาธิแบบลอยตัว |
Cheyletiella spp. (ไรขนหรือไรผิวหนัง) | การตรวจร่างกาย การตรวจเซลล์ผิวหนัง การขูดตรวจผิวหนัง การใช้หวีสางหมัด การตรวจอุจจาระหาไข่พบาธิแบบลอยตัว |
Otodectes cynotis or Notoedres cati (ไรในหู) | การตรวจร่างกาย การตรวจเซลล์ผิวหนังที่หูและผิวหนัง การขูดตรวจผิวหนัง |
Dermatophytosis (เชื้อราที่ผิวหนัง) | การซักประวัติ การตรวจเส้นขน(trichogram) การตรวจเชื้อราด้วยWood’s lamp การเพาะเชื้อราด้วย DTM การตรวจเชื้อราด้วย PCR |
Autoimmune diseases (โรคภูมิคุ้มกันแบบ pemphigus foliaceus) | การตรวจเซลล์ผิวหนัง การตรวจชิ้นเนื้อ(biopsy) การตรวจพยาธิวิทยาระดับเซลล์ |
ความผิดปกติจากระบบฮอร์โมน เช่น ธัยรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน และอื่น ๆ) | การซักประวัติ การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ |
Cutaneous adverse drug reaction (โรคผิวหนังที่เกิดจากการแพ้ยา) | การซักประวัติ การตรวจชิ้นเนื้อ(biopsy) การตรวจพยาธิวิทยาระดับเซลล์ |
โรคจากเชื้อไวรัส (herpesvirus, papillomavirus, calicivirus, poxvirus, feline leukemia virus) | การตรวจชิ้นเนื้อ(biopsy) การตรวจพยาธิวิทยาระดับเซลล์, PCR, immunohistochemistry |
Non-flea, non-food induced hypersensitivity dermatitis (NFNFIHD) | การซักประวัติ การตัดข้อสงสัยจากโรคอื่น ๆ ออก |
Psychogenic alopecia (ภาวะขนร่วงที่เกิดจากอารมณ์) | การซักประวัติ การตัดข้อสงสัยจากโรคอื่น ๆ ออก การตอบสนองต่อการรักษา |
หลังจากทำการตัดความเป็นไปได้ของโรคอื่นออกแล้ว หากมีการวินิจฉัย CAFR ที่ง่ายต่อการตรวจ ไม่แพง และมีความแม่นยำสูงคงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีการตรวจใดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนดังกล่าว 10แต่ได้มีการเสนอวิธีต่างๆในการวินิจฉัย CAFR
แม้ว่าการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อผิวหนังตรวจจุลพยาธิวิทยาจะมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรคผิวหนังต่างๆได้หลายโรคและช่วยในการตัดข้อสงสัยโรคอื่นที่ต้องทำการวินิจฉัยแยกแยะได้ แต่ไม่มีลักษณะทางจุลพยาธิที่วิทยาที่จำเพาะและใช้ยืนยัน CAFR การเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อของสัตว์ป่วยด้วย CAFR ไปตรวจจะพบ perivascular dermatitis ที่สังเกตได้จากการมีเซลล์อักเสบต่างๆเข้ามาแทรกได้แก่ ลิมโฟไซต์ อีโอซิโนฟิล mast cell นิวโทรฟิล และมาโครฟาจ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำเพาะต่ออ CAFR สามารถพบได้ในการแพ้ทุกกรณี ดังนั้นการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อของสัตว์ที่ป่วยด้วย CAFR แพ้น้ำลายหมัด และ non-flea non-food induced hypersensitivity dermatitis(NFNFIHD) ไปตรวจจะพบการเปลี่ยนแปลงที่เหมือนกัน การเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจเพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกสาเหตุของการแพ้ได้และในขณะเดียวกันการเก็บตัวอย่างลำไส้เล็กของสัตว์ป่วยที่มีอาการของระบบทางเดินอาหารร่วมด้วยสามารถบอกความผิดปกติทางพยาธิวิทยาได้แต่ไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุของโรคได้เช่นกัน ทำให้ไม่สามารถแยกสัตว์ที่แพ้อาหารออกจากแพ้สิ่งอื่น 10
การศึกษาพบว่าการวิเคราะห์ตัวอย่างเส้นชนและน้ำลายไม่สามารถทำซ้ำได้เพราะตัวอย่างที่ทำซ้ำในสัตว์ตัวเดียวกันให้ผลที่แตกต่างกัน 13 นอกจากนี้การทดสอบยังไม่สามารถแยกระหว่างสุนัขที่มีอาการแพ้หรือไม่มีอาการแพ้ได้ รวมถึงไม่สามารถแยกตัวอย่างจากสิ่งไม่มีชีวิต(เส้นขนตุ๊กตา)กับสิ่งมีชีวิตได้ 13 การศึกษาไม่นานนี้ได้ทำการประเมินความจำเพาะ ความไว และค่าทำนายเชิงบวกเชิงลบของการวิเคราะห์ขนและน้ำลายพบว่าต่ำเกินกว่าที่จะแนะนำให้ใช้ในการวินิจฉัย CAFR ได้ 2
วิธีการเดียวที่พบว่ามีความน่าเชื่อถือมากพอที่จะใช้ในการวินิจฉัยภาวะภูมิแพ้อาหารคือการทดสอบอาหาร (elimination diet trial) 10. ทฤษฎีที่ใช้คือหากนำสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ออกจากอาหารที่สัตว์กินจะต้องทำให้อาการโดยรวมดีขึ้น ความท้าทายของวิธีนี้คือการหาสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นให้สัตว์เกิดอาการแพ้ให้พบ จากการทดลองกระตุ้นให้เกิดการแพ้มากมายพบว่าส่วนประกอบที่มีโอกาสก่อให้เกิดภาวะภูมิแพ้อาหารในแมวได้แก่เนื้อวัว ปลา และไก่ 2 และการทดสอบอาหารควรเลือกใช้อาหารที่ปราศจากวัตถุดิบดังกล่าว
การยืนยันภาวะภูมิแพ้อาหารนั้นเป็นกระบวนการหลายขั้นตอน (แผนภาพ 1) เริ่มจากแมวจำเป็นต้องกินอาหารทดสอบเป็นระยะเวลาหนึ่งและมีอาการที่ดีขึ้น การสำรวจงานวิจัยที่ตีพิมพ์ไม่นานนี้หลายฉบับสรุปได้ว่าร้อยละ 90 ของแมวที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น CAFR จะมีอาการทางคลินิกที่ดีขึ้นใน 8 สัปดาห์ส่งผลให้คำแนะนำในการทดสอบอาหารปัจจุบันควรใช้เวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์เพื่อให้เกิดโอกาสที่จะวินิจฉัยได้ถูกต้องมากที่สุด 14 การยืนยันว่าอาหารเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการของสัตว์ดีขึ้นนั้นต้องทำการ “ท้าทาย”โดยการเติมอาหารเดิมที่สัตว์เคยกินลงไปในอาหารที่ใช้ทดสอบ แมวที่มีภาวะภูมิแพ้อาหารส่วนมากจะมีอาการที่แย่ลงใน 2-3 วัน แต่มีรายงานว่าบางตัวอาจใช้เวลาถึง 14 วัน 6 แมวบางตัวอาจมีอาการที่ดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาให้อาหารทดสอบในครั้งแรก แต่หลังจากการเติมอาหารเก่าลงไปแล้วไม่กลับมามีอาการอีกอาจเป็นผลจากการรักษาอื่นๆที่ได้ทำร่วมกับการทดสอบอาหารเช่นการกำจัดหมัด การรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน การได้รับโปรตีนและไขมันที่คุณภาพดีขึ้นจากอาหารที่ใช้ทดสอบ หรือแม้แต่การเปลี่ยนฤดูกาล 2หากอาการของแมวแย่ลงหลังได้รับอาหารที่เคยกิน ให้ทำการเปลี่ยนมาใช้อาหารทดสอบเพียงอย่างเดียวอีกครั้งถ้าแมวมีอาการที่ดีขึ้นถือเป็นการวินิจฉัยยืนยัน CAFR ได้ ในการระบุสารก่อภูมิแพ้ที่แน่นอนอาจทดลองเติมส่วนผสมของอาหารทีละชนิดทุกสัปดาห์หรือทุกสองสัปดาห์เพื่อสังเกตว่าแมวมีอาการแย่ลงหรือไม่
อาหารที่เป็นตัวเลือกนำมาใช้ทดสอบอาหารมีสามชนิดด้วยกัน อาหารปรุงเองที่บ้านโดยเลือกแหล่งโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่แมวไม่เคยกิน อาหารสำเร็จรูปที่มีแหล่งโปรตีนที่แมวไม่เคยกิน และอาหารสำเร็จรูปที่มีไฮโดรไลซ์โปรตีน
ตัวเลือกที่เป็นอาหารปรุงเองที่บ้านสร้างโอกาสในการตัดส่วนประกอบที่น่าสงสัยได้เช่นแป้งข้าวโพดและผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้ 1 ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาย้อนหลังจำนวนไม่มากรายงานว่าอาหารชนิดนี้มีความไวสูงในการวินิจฉัย CAFR ในแมว 6 แต่จำเป็นต้องมีการซักประวัติการกินอาหารอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจได้ว่าแหล่งโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมาจากแหล่งที่แมวไม่เคยได้รับจริง อาหารปรุงเองที่บ้านยังต้องการการลงแรงและการปรึกษากับสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีความสมดุลทางโภชนาการและหลีกเลี่ยงผลเสียที่จะเกิดจากการที่ปริมาณสารอาหารไม่เหมาะสม ผลที่ตามมาคือสัตวแพทย์และเจ้าของอาจเลือกที่จะใช้อาหารรักษาโรคที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก
อีกทางเลือกหนึ่งที่ดีคืออาหารสำเร็จรูปที่ทำจากแหล่งโปรตีนที่แมวไม่เคยกินซึ่งสะดวกแก่เจ้าของที่ไม่อยากปรุงอาหารให้แมว แต่สัตวแพทย์ยังคงต้องซักประวัติการกินอาหารของแมวอย่างละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยงโปรตีนจากแหล่งที่แมวเคยได้รับ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มาของอาหารอีกด้วย บางครั้งเจ้าของแมวอาจเลือกใช้อาหารทั่วไปที่ไม่ใช่อาหารรักษาโรคแต่มีการโฆษณาบนบรรจุภัณฑ์ว่า “มีการจำกัดส่วนผสม” หรือ “โปรตีนชนิดใหม่(novel protein)” โดยอาหารเหล่านี้ไม่ได้รับการทดสอบยืนยันความบริสุทธิ์ของอาหารและมักพบว่ามีส่วนประกอบที่ไม่ได้อยู่บนฉลากปะปนอยู่ 15 ส่วนผสมที่ระบุที่มาไม่ได้นั้นอาจทำให้สูญเสียผลดีจากการใช้โปรตีนที่แมวไม่เคยได้รับเพราะแมวอาจเกิดการแพ้ต่อสารปนเปื้อนเหล่านั้นได้ 15. แม้แต่อาหารดิบก็มีข้อน่ากังวลเช่นเดียวกัน 16 ทำให้อาหารทั่วไปไม่เหมาะในการใช้ทดสอบอาหาร ในตอนนี้อาหารที่เหมาะสมในการใช้ทดสอบอาหารจึงเป็นอาหารรักษาโรคเท่านั้น
Darren J. Berger
ปัจจัยที่สร้างความยุ่งยากอีกประการหนึ่งคือมีรายงานมากมายที่กล่าวว่ามีการปฏิกิริยาการแพ้ข้ามกันระหว่างโปรตีนคนละชนิดได้ส่งผลให้การหาโปรตีนที่แมวไม่เคยได้รับจริงนั้นทำได้ยาก พบว่ามีสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้ทั่วไปในสัตว์ปีก ดังนั้นการให้เนื้อเป็ดกับสัตว์ที่มีประวัติการกินไก่อาจไม่ใช่โปรตีนจากแหล่งที่ไม่เคยได้รับอย่างแท้จริง 17 นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเหนี่ยวนำให้เกิดความไวต่อการแพ้ได้ระหว่างสายพันธุ์สัตว์เคี้ยวเอื้องด้วยกัน หมายความว่าสัตว์ที่เคยกินเนื้อวัวอาจไม่สามารถเลือกเนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อไบซันเป็นแหล่งโปรตีนที่ไม่เคยกินได้ 18
จากเหตุผลข้างต้นทำให้สัตวแพทย์หลายคนเลือกใช้อาหารรักษาโรคที่ทำจากไฮโดรไลซ์โปรตีนซึ่งกระบวนการผลิตจะสร้างสายเปปไทด์ที่สั้นมากพอที่คาดว่าจะไม่เกิดการ cross-link ของ mast cell ที่ทำให้เกิดการแพ้ ขนาดของอาหารที่ก่อให้เกิดการแพ้ในคนจะอยู่ที่ 10-70 kDa 1 แต่ในสัตว์ยังไม่มีการกำหนดขนาดที่แน่นอน มีโอกาสที่สัตว์จะแสดงอาการแพ้ต่อโปรตีนต้นแบบหากไฮโดรไลซ์โปรตีนมีขนาดไม่เล็กพอ นอกจากนี้เปปไทด์ของอาหารแต่ละชนิดยังมีขนาดไม่เท่ากัน ในการศึกษาแบบ crossover ที่ทำในสุนัข 10 ตัวซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าแพ้ไก่โดยเปรียบเทียบอาหารที่มีโปรตีนไฮโดรไลซ์สองชนิดซึ่งมีแหล่งโปรตีนต้นแบบและกรรมวิธีในการไฮโดรไลซ์ต่างกัน(ขนไก่ที่ถูกไฮโดรไลซ์อย่างมากและตับไก่ที่ถูกไฮโดรไลซ์) เจ้าของสุนัขให้คะแนนอาการคันโดยพบว่าสุนัข 4 จาก 10 ตัวมีอาการคันมากขึ้นเมื่อกินอาหารที่ทำจากตับไก่ไฮโดรไลซ์แต่ไม่คันเมื่อกินอาหารที่ทำจากขนไก่ที่ถูกไฮโดรไลซ์อย่างมาก 19 จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาแบบเดียวกันในแมวเพราะหนึ่งในความยากคืออาหารเหล่านี้มักไม่มีความน่ากินสำหรับแมว ขนาดของเปปไทด์ที่เล็กยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด hyper-osmotic diarrhea เมื่อกินอาหารอีกด้วย 20
การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้หลายกรณีได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของไฮโดรไลซ์โปรตีนในการวินิจฉัย CAFR ได้อย่างแม่นยำในสุนัขและแมว รายงานที่อ้างอิงจากข้างต้น 6 พบว่าแมวร้อยละ 50 ในการศึกษาไม่สามารถวินิจฉัยโดยใช้อาหารที่ทำจากโปรตีนไฮโดรไลซ์ได้และจำเป็นต้องใช้อาหารปรุงเองในการวินิจฉัย CAFR ได้อย่างแม่นยำ แต่ว่าเป็นการศึกษาย้อนหลังขนาดเล็กและมีการใช้อาหารทดสอบที่หลากหลาย อีกการศึกษาหนึ่งทำการดูปฏิกิริยาของลิมโฟไซต์ของสุนัขที่เป็น CAFR ต่อโปรตีนที่หลงเหลืออยู่และเปปไทด์(> 1 kDa) ในอาหารที่มีไฮโดรไลซ์โปรตีนสองชนิดพบว่าโปรตีนที่หลงเหลืออยู่กระตุ้นให้เกิดการทำงานของลิมโฟไซต์ในสุนัขร้อยละ 30 21ถึงแม้ว่าจะเป็นการศึกษาในห้องทดลอง(in vitro) แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีนัยยะสำคัญทางคลินิกหรือไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากโปรตีนชนิดใหม่ที่แมวไม่เคยได้รับซึ่งมีจำกัด โอกาสในการเกิดปฏิกิริยาการแพ้ข้ามกันของแหล่งโปรตีน และความยากในการพัฒนาสูตรรวมถึงการปรุงอาหารเองที่บ้านทำให้อาหารที่ทำจากไฮโดรไลซ์โปรตีนยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีในการทดสอบอาหาร
ความท้าทายหนึ่งของการทดสอบอาหารคือการที่ต้องอาศัยเจ้าของสัตว์เพื่อให้ทำได้อย่างสมบูรณ์ แบบสอบถามที่ตอบโดยเจ้าของสัตว์พบว่าเกือบร้อยละ 60 ไม่ได้ให้อาหารสำหรับทดสอบอาหารอย่างเคร่งครัดด้วยเหตุผลหลากหลายเช่นวิธีการใช้ชีวิต ราคา หรือความสามารถในการป้อนยา 22 นอกจากนี้พบว่าเจ้าของสัตว์จะให้ความร่วมมือในการทดสอบอาหารมากขึ้นหากสัตวแพทย์ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการและ CFAR ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสำคัญของการสื่อสารและการให้ความรู้แก่เจ้าของสัตว์ในกรณีของการทดสอบอาหาร
การเฟ้นหาอาหารที่ใช้ในการทดสอบซึ่งแมวยอมกินนั้นอาจาเป็นปัญหาด้วยตัวเอง สัตวแพทย์อาจต้องติดตามเจ้าของอย่างใกล้ชิดในช่วงทดสอบอาหารและเน้นย้ำให้เจ้าของเฝ้าดูพฤติกรรมการกกินของสัตว์เลี้ยงเพราะแมวที่ไม่กินอาหารอาจเกิดปัญหาเช่น hepatic lipidosis ได้2 อาจต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหาอาหารที่แมวยอมกิน บ้านที่เลี้ยงแมวหลายตัวอาจทำให้การให้อาหารเพื่อการทดสอบแก่แมวเพียงตัวเดียวมีความยากเพิ่มขึ้น อาหารรักษาโรคที่มีวางจำหน่ายนั้นมีสารอาหารที่สมดุลและสามารถให้แมวโตเต็มวัยที่ปกติกินได้ ดังนั้นวิธีที่เหมาะสมคือให้แมวทุกตัวในบ้านกินอาหารเหมือนกัน หากเจ้าของสัตว์ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายของอาหารรักษาโรคและให้เพียงแมวที่มีปัญหากินอาหารนั้นอาจต้องทำการแยกเลี้ยงหรือใช้เครื่องให้อาหารชนิดอ่านไมโครชิปซึ่งจะทำงานกับสัตว์เฉพาะบางตัว
Marsella, R. Hypersensitivity Disorders. In; Miller WH, Griffin CE, Campbell KL, et al (eds). Muller & Kirk's Small Animal Dermatology 7th ed. St. Louis, Mo.: Elsevier/Mosby, 2013;363-431.
Sarah E. Hoff
Sarah E. Hoff, Iowa State University, College of Veterinary Medicine, สหรัฐอเมริกา อ่านเพิ่มเติม
Darren J. Berger
Darren J. Berger, Iowa State University, College of Veterinary Medicine, สหรัฐอเมริกา อ่านเพิ่มเติม
Cutaneous lymphoma ในแมวพบได้ยากแต่ถือเป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตซึ่งจำเป็นต้องบรรจุไว้ใน้ข้อวินิจฉัยแยกแยะในโรคผิวหนังหลายกรณี
การใช้ Elizabethan collar ในแมวมักทำเพื่อป้องกันการเกาจากอาการคัน แต่การสวมใส่อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของแมว
สัตวแพทย์หญิง Christina Gentry ได้อธิบายถึงวิธีการในการวินิจฉัยแยกแยะและรักษาเมื่อพบรอยโรคบริเวณจมูกแมว
Cutaneous lymphoma ในแมวพบได้ยากแต่ถือเป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิต