การนำนิ่วในกระเพาะปัสสาวะออกโดยรบกวนสัตว์ป่วยน้อยที่สุด
ทางเลือกในการนำนิ่วในทางเดินปัสสาวะออกโดยรบกวนผู้ป่วยน้อยที่สุดนั้นในปัจจุบันได้กลายเป็น...
หมายเลขหัวข้อ 29.2 Other Scientific
เผยแพร่แล้ว 20/06/2021
สามารถอ่านได้ใน Français , Deutsch , Italiano , Português , Español และ English
สถานพยาบาลสัตว์ในปัจจุบันส่วนมากมักมีเครื่องอัลตราซาวด์เพื่อการวินิจฉัยอยู่แล้ว Dr. Greg Lisciandro ได้อธิบายถึงการใช้อัลตราซาวด์ตรวจอย่างเป็นขั้นตอนในการตรวจช่องท้องเพื่อระบุความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะในแมวได้อย่างรวดเร็วและทราบปัญหาที่เกิดขึ้น (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)
การตรวจอัลตราซาวด์ ณ จุดดูแลสัตว์ป่วย ได้รับความนิยมมากขึ้นในทางสัตวแพทย์ และกลายมาเป็นตัวเลือกแรกของสัตวแพทย์ในการวินิจฉัยด้วยภาพเช่นการวินิจฉัยด้วยคลื่นเสียง (ultrasound) และรังสีวินิจฉัย (x-ray)
การตรวจช่องท้องด้วยอัลตราซาวด์อย่างเป็นระบบจะช่วยลดโอกาสในการพลาดรอยโรคบางอย่างได้
การตรวจกระเพาะปัสสาวะด้วยอัลตราซาวด์จะช่วยหาปริมาตรของเหลวในกระเพาะปัสสาวะทางอ้อมโดยไม่เกิดความเจ็บปวดและยังประเมินอัตราการผลิตปัสสาวะ(urine output) ซึ่งมีส่วนช่วยในการจัดการสัตว์ที่มีภาวะวิกฤต
การเก็บภาพวินิจฉัยทางอัลตราซาวด์ในรูปแบบที่เหมาะสมจะช่วยให้การวินิจฉัยและการติดตามโรคทำได้ง่ายมากขึ้น
การตรวจวินิจฉัยด้วยอัลตราซาวด์ด้วยวิธีที่มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ณ จุดบริการสำหรับการวินิจฉัยสัตว์เล็กที่รู้จักกันในนาม Global Focused Assessment with Sonography in Trauma/triage (GFAST) ถูกนำมาใช้มากขึ้นในวงการสัตวแพทย์ ขั้นตอนในการวินิจฉัยประกอบไปด้วยวิธีการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง (abdominal FAST หรือ AFAST) อัลตราซาวด์ช่องอก (thoracic FAST หรือ TFAST) และการประเมินสภาวะของปอด (veterinary bedside lung ultrasound examination หรือ VETBlue) ความเป็นมาของ GFAST เกิดจากการพัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยด้วยอัลตราซาวด์ที่มีมาตรฐานเพื่อหาข้อสรุปทางคลินิกที่อาจแตกต่างไปจากการตรวจอัลตราซาวด์อย่างครบถ้วนทุกระบบหรือการตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (echocardiography)
การทำ GFAST จะอาศัยมุมมองอะคูสติก (acoustic view/window) ที่กำหนดไว้ชัดเจนซึ่งจะทำให้ประเมินอวัยวะเป้าหมายได้ ร่วมกับการขยับบังคับหัวตรวจ (probe) ที่ได้มาตรฐาน โดยในบทความนี้จะเน้นเกี่ยวกับการตรวจและประเมินสภาวะของกระเพาะปัสสาวะแมวเพื่อหาความผิดปกติด้วยวิธี AFAST ที่มุมมอง cysto-colic (CC) รวมไปถึงการหาปริมาณของเหลวภายในช่องท้อง และความผิดปกติอื่นของกระเพาะปัสสาวะที่พบได้ง่าย รูปแบบการบันทึกผลตรวจที่เน้นเป้าหมายช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับผลการวินิจฉัย
ข้อควรระวังของการตรวจอัลตราซาวด์ ณ จุดบริการในทางสัตวแพทย์ (veterinary point-of-care ultrasound หรือ V-POCUS) คือสัตวแพทย์อาจเกิดความพอใจหลังจากที่พบความผิดปกติจากการตรวจวินิจฉัยและหยุดหาความผิดปกติอื่นๆ (satisfaction of search error) จากการตรวจภาพวินิจฉัยในมุมมองที่เลือกไว้แล้ว หากไม่ได้ทำการตรวจด้วยวิธีการที่ได้มาตรฐาน สัตวแพทย์ผู้ทำการรตรวจอาจพลาดพยาธิสภาพบางอย่างรวมถึงการนำสิ่งที่พบจากการตรวจวินิจฉัยด้วยอัลตราซาวด์มาใช้ 1 2 3 4 5 แนวคิดของการวินิจฉัยด้วยวิธี GFAST คือการต่อยอดจากการตรวจร่างกายด้วยขั้นตอนที่มีมาตรฐานและแบบแผน ทำตามได้ง่ายถึงแม้จะไม่ใช่สัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางภาพรังสีวินิจฉัย มีจุดมุ่งหมายให้สัตวแพทย์เลือกใช้ในการตรวจวินิจฉัยคัดกรองด้วยความรวดเร็ว
บทความนี้จะนำเสนอการเลือกใช้วิธี GFAST ในการตรวจคัดกรองโรคระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างของแมว ขั้นตอน AFAST จะถูกนำมาใช้ตรวจภายในช่องท้องทั่วไป ตรวจของเหลวภายในช่องท้อง และตรวจอวัยวะภายในที่เป็นเป้าหมายซึ่งก็คือกระเพาะปัสสาวะ บทความอื่นที่เกี่ยวข้องจะกล่าวถึงการใช้วิธีการเดียวกันในการตรวจวินิจฉัยโรคไต การประเมินปริมาตรของเหลวภายในร่างกายโดยรวมควรใช้วิธี TFAST และ VetBLUE แมวทุกตัวที่แสดงปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างและการอุดตันของทางเดินปัสสาวะควรได้รับการตรวจด้วยวิธี GFAST ซึ่งอาจทำให้พบกับปัญหาอื่นที่ยังตรวจไม่พบหรือไม่คาดคิดอีกด้วย
Gregory Lisciandro
ตำแหน่งสำคัญที่ใช้ในการตรวจ AFAST เพื่อประเมินสภาวะของเหลวภายในช่องท้องเป็นดังรูปที่ 1 และรูปที่ 2 การตรวจอัลตราซาวด์จำเป็นต้องทำตามตำแหน่งที่กำหนดไว้โดยเริ่มจากมุมมอง diaphragmatico-hepatic (DH) ตามมาด้วยมุมมอง spleno-renal (SR) ที่ได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงน้อยที่สุดเมื่อนอนตะแคงขวาลง หรือมุมมอง hepato-renal (HR) หากนอนตะแคงซ้ายลง ต่อด้วยมุมมอง cysto-colic (CC) แล้วจบลงที่มุมมอง hepato-renal umbilical (HRU) ที่ได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงมากที่สุดเมื่อนอนตะแคงขวาลง หรือมุมมอง spleno-renal umbilical(SRU) หากนอนตะแคงซ้ายลง การตรวจตามลำดับตำแหน่งดังที่กล่าวมาจะทำให้ช่องอกได้รับการคัดกรองก่อนเพื่อดูว่ามีปัญหาภายในช่องอกเช่นน้ำในช่องอก (pleural effusion) หรือน้ำในถุงหุ้มหัวใจ (pericardial effusion) ที่อาจก่อเกิดอันตรายหากสัตว์ถูกจับบังคับเปHนเวลานานได้ มุมมองสุดท้ายในการทำ AFAST จบลงที่มุมมองบริเวณสะดือ (umbilical) ที่ได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงมากที่สุด สาเหตุเพราะว่าตำแหน่งนี้เป้นตำแหน่งที่ใช้ในการเจาะช่องท้อง (abdominocentesis)ในกรณีที่ตรวจพบน้ำในช่องท้อง
คำถาม | ข้อบ่งชี้ |
---|---|
มีของเหลวอยู่อย่างอิสระในช่องท้องหรือไม่ | มี/ไม่มี |
มีของเหลวอยู่ปริมาณเท่าใดในช่องท้องโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนของระบบ AFAST-applied Fluid Scoring System |
คะแนน 0, ½ (≤ 5 มม.) หรือ
1 (> 5 มม.)
|
กระเพาะปัสสาวะมีลักษณะเป็นอย่างไร | ปกติ/ผิดปกติ |
ช่องว่างในกระเพาะปัสสาวะมีลักษณะเป็นอย่างไร | ปกติ/ผิดปกติ |
ผนังกระเพาะปัสสาวะมีลักษณะเป็นอย่างไร | ปกติ/ผิดปกติ |
ระบบสืบพันธุ์ยังสมบูรณ์หรือไม่ (ทำหมัน) | ใช่/ไม่ใช่ |
อาจแปลผลการตรวจผิดเนื่องจาก artifact หรือข้อผิดพลาดที่ถูกมองข้ามหรือไม่ |
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ artifact และข้อผิดพลาดที่ถูกมองข้าม |
การใช้เทคนิค AFAST ในการตรวจคลื่นเสียงวินิจฉัยหรืออัลตราซาวด์จะทำให้พบความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย สัตวแพทย์ผู้ทำการตรวจเพียงแค่ตัดสินว่ากระเพาะปัสสาวะมีความผิดปกติหรือไม่ หากมีความผิดปกติจะได้เลือกใช้วิธีการตรวจที่ทันสมัยยิ่งขึ้นเพื่อช่วยในการวินิจฉัยเจาะจง สิ่งที่สามารถตรวจพบได้โดยวิธี AFAST อยู่ในตารางที่ 1 ลักษณะกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะส่วนช่องท้อง (abdominal urethra) อยู่ใน ตารางที่ 2
ตารางที่ 2 สัตวแพทย์ต้องสามารถจำแนกกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะส่วนช่องท้องที่ปกติออกมาได้ก่อนที่จะหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น
การตรวจอัลตราซาวด์ด้วยวิธี AFAST เริ่มจากการตรวจแนวยาวตามลำตัวตามด้วยการขยับโยกหัวตรวจไปด้านหน้าและกลับมายังตำแหน่งเริ่มต้นของแต่ละมุมมอง ดังนั้นการตรวจที่มุมมอง cysto-colic (CC) จะเป็นการตรวจกระเพาะปัสสาวะในแนวยาวตามลำตัวพร้อมไปกับการหาของเหลวที่อยู่อย่างเป็นอิสระในส่วนของกระพุ้ง cysto-colic pouch ที่ได้รับผลจากแรงโน้มถ่วงมากที่สุด ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างสุนัขและแมวคือท่อปัสสาวะของแมว (urethra) มีความยาวที่มากพอสามารถวัดขนาดในช่องท้องได้ มุมมอง spleno-renal และ hepato-renal ใช้ในการตรวจเนื้อเยื่อรอบๆไตซ้าย ขวา และหาปริมาณของเหลวที่อยู่อย่างอิสระในบริเวณช่องท้อง (retroperitoneal และ peritoneal fluid) ซึ่งมีความสำคัญที่จะทำให้การตรวจระบบทางเดินปัสสาวะสมบูรณ์ได้ ผู้เขียนได้อธิบายถึงวิธีการตรวจในอีกบทความหนึ่ง
การตรวจ AFAST ที่มุมมอง cysto-colic ยังสามารถบอกระดับความรุนแรงของตะกอนในกระเพาะปัสสาวะซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคทางเดินปัสสาวะและการอุดตันของทางเดินปัสสาวะในแมวด้วย การเฝ้าติดตามปริมาณตะกอนในกระเพาะปัสสาวะจะมีประโยชน์ในการดูผลการตอบสนองต่อการรักษารวมถึงการเปลี่ยนอาหาร และในแมวที่มีภาวะทางเดินปัสสาวะอุดตันอาจหมายถึงข้อบ่งชี้ในการล้างกระเพาะปัสสาวะ (bladder lavage) ความผิดปกติอื่นที่สามาถพบได้ ได้แก่ก้อนเลือด (thrombi) นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (cystic calculi) ความผิดปกติของผนังกระเพาะปัสสาวะ และตำแหน่งของท่อสวนปัสสาวะที่ได้ทำการใส่ไว้ ตารางที่ 3 จะเป็นการรวบรวมภาพอัลตราซาวด์ที่แสดงผลปกติและไม่ปกติ ตรวจด้วยเทคนิค AFAST
ตารางที่ 3 สิ่งที่ตรวจพบได้จากการทำอัลตราซาวด์กระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะแมว
แมวที่มีการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะจะพบภาวะ ascites 6 11 12 และ retroperitoneal effusion จากการศึกษาที่ละเอียดที่สุดจนถึงปัจจุบันตามความเข้าใจของผู้เขียนบทความพบว่าประชากรแมวที่มีการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ 60% จะพบ pericystic fluid (ตรวจโดยใช้วิธี AFAST ในมุมมอง CC) และอีก 35% พบ retroperitoneal effusion 6 อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตรวจพบไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางในการรักษาเพราะเมื่อแก้ไขสาเหตุของการอุดตันได้แล้วภาวะ effusion จะหายไปเอง 6 การเก็บตัวอย่างน้ำในช่องท้องไปตรวจอาจช่วยยืนยันการเกิดภาวะปัสสาวะในช่องท้อง (uroabdomen) ซึ่งการรักษาทางยาอาจให้ผลที่ดีกว่าการรักษาโดยวิธีทางศัลยกรรม หนึ่งในข้อสันนิษฐานถึงกระบวนการเกิด effusion จากภาวะอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะซึ่งผู้เขียนบทความได้กล่าวไว้คือการอักเสบของเนื้อเยื่อและความดันย้อนกลับของปัสสาวะที่มีต่อผนังกระเพาะปัสสาวะและเยื่อหุ้มไต (renal capsule) 13 การใช้ระบบให้คะแนนของเหลวในช่องท้อง (abdominal fluid scoring; AFS) ร่วมกับการตรวจอัลตราซาวด์ด้วยวิธี AFAST เป็นการตรวจหาปริมาตรของเหลวเชิงวัตถุ (objective) (โดยปกติจะให้คะแนนอยู่ในช่วง 0-4 แต่อาจปรับให้เหมาะสมได้ตามปริมาณของเหลว)ทั้งยังสามารถบอกถึงบริเวณที่พบและไม่พบของเหลวอีกด้วย 1 14 15 16 การใช้ระบบให้คะแนนจะมีประโยชน์กว่าการใช้ความเห็นเชิงจิตวิสัยเช่นเล็กน้อย (mild) ปานกลาง (moderate) และรุนแรง (severe) เพราะสามารถประเมินสภาพของสัตว์ป่วยได้ดีกว่าไม่ว่าจะเป็นการราวด์เคสระหว่างวันหรือการติดตามผลการรักษา จากประสบการณ์ของผู้เขียนบทความภาวะของเหลวสะสมสามารถหายได้ภายใน 24-36 ชั่วโมงหลังจากที่ได้แก้ไขการอุดตันและสัตว์ป่วยฟื้นตัวดีแล้ว
Gregory Lisciandro
เมื่อตรวจพบของเหลวที่อยู่อย่างอิสระในช่องท้องด้วยวิธีอัลตราซาวด์และประเมินแล้วว่าสามารถเก็บตัวอย่างของเหลวนั้นได้อย่างปลอดภัย สัตวแพทย์จำเป็นจะต้องเจาะดูดตัวอย่าง ทำการวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้ทราบลักษณะและคุณสมบัติของของเหลวนั้น นำผลที่ไปวางแผนการวินิจฉัยและการรักษาต่อไป หากมีการฉีกขาดของทางเดินปัสสาวะอาจจำเป็นต้องหาค่า serum creatinine หรือ serum potassium เทียบกับค่าจากตัวอย่างของเหลว สิ่งสำคัญคือการตรวจอัลตราซาวด์ไม่สามารถบอกคุณสมบัติของเหลวที่ตรวจพบได้ และหากมีปริมาณของเหลวในช่องท้องที่มากอาจจำเป็นต้องทำการเจาะดูดช่องท้องหลังตรวจด้วยวิธี AFAST เสร็จเรียบร้อยที่บริเวณสะดือซึ่งได้รับผลจากแรงโนม้ถ่วงมากที่สุดทำให้ของเหลวในช่องท้องจะมารวมกัน ณ บริเวณนั้น
การตรวจอัลตราซาวด์ด้วยวิธี AFAST มุมมอง CC สามารถหาปริมาตรของกระเพาะปัสสาวะซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณปัสสาวะที่ร้างกายผลิตขึ้นได้โดยการวัดในแนวยาวและแนวขวาง หากสามารถวัดเก็บข้อมูลได้ต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งจะสามารถคำนวณอัตราการผลิตปัสสาวะของไตได้ด้วย 17 การวัดกระเพาะปัสสาวะเริ่มจากกาวัดความยาว (H) และความสูง (L) ในแนวยาวลำตัวจากภาพอัลตราซาวด์ที่ให้รูปกระเพาะปัสสาวะเป็นวงรีขนาดใหญ่ที่สุดหน่วยเป็นเซนติเมตร จากนั้นหมุนหัวตรวจไป 90 องศาเพื่อหาความกว้าง (W) จากนั้นนำมาเข้าสูตร L x H x W x 0.625 จะได้ค่าโดยประมาณของปริมาตรในกระเพาะปัสสาวะที่มีหน่วยเป็นมิลลิลิตร (รูป 3a) (รูป 3b) วิธีนี้เป็นการตรวจวินิจฉัยโดยไม่เจ็บปวดเพื่อที่จะได้ข้อมูลสำคัญในการรักษาโดยเฉพาะในแมวที่มีความเสี่ยงต่อภาวะไตวาย
การตรวจพบก้อนเนื้อของกระเพาะปัสสาวะแมวขณะทำ cystocentesis เป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อยนัก หากสัตวแพทย์เจอปัญหานี้ต้องหยุดการทำหัตถการและตรวจวินิจฉัยด้วยวิธี GFAST ส่วนหนึ่งเพื่อการหาข้อมูลเพิ่มเติมในการพูคุยกับเจ้าของ กรณีสมมติ 2 กรณีต่อจากนี้จะทำให้มองเห็นภาพรวมได้ชัดขึ้น
(i) สัตวแพทย์พบก้อนเนื้อที่กระเพาะปัสสาวะขณะทำ cystocentesis จึงหยุดการทำหัตถการแล้วเดินไปบอกเจ้าของสัตว์ป่วยถึงข่าวร้าย เช่น ก้อนเนื้อที่พบอาจมีแนวโน้มที่จะเป็นเนื้อร้ายได้ และแนะนำให้ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น หลังจากเจ้าของฟังจบ หากแมวยังมีอาการคงที่เจ้าของอาจตัดสินใจขอรับแมวกลับไปคิดดูก่อนและไม่กลับมาอีก ส่งผลเสียต่อทั้งสถานพยาบาล ความสัมพันธ์ระหว่างสัตวแพทย์และเจ้าของสัตว์ เจ้าของสัตว์เองต้องแบกความรู้สึกผิด เพราะตัดสินใจหาทางออกให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเองไม่ได้
(ii) สัตวแพทย์พบก้อนนื้อที่กระเพาะปัสสาวะขณะทำหัตถการเดิม แต่ในครั้งนี้สัตวแพทย์ได้ทำการตรวจคัดกรองด้วย GFAST ก่อนที่จะไปพูดคุยกับเจ้าของแมว บทสนทนาหลังจากนั้นจะมีข้อมูลมากขึ้นเช่น ก้อนเนื้อที่ตรวจพบเกิดเฉพาะที่ ไม่พบการขยายหรือเนื้องอกที่กรวยไต ไม่พบเนื้องอกที่ตับ ปอด (จากการตรวจ VetBLUE) ไม่มีน้ำในเยื่อหุ้มปอดและถุงหุ้มหัวใจ หากแมวให้ความร่วมมือการตรวจ TFAST อาจเห็นถึงห้องหัวใจที่ไม่มีความผิดปกติ ข้อมูลที่ได้ทั้งหมดนี้ทำให้สัตวแพทย์สามารถแนะนำการวินิจฉัยขั้นต่อไปได้ตรงจุดมากขึ้น ในทางกลับกันหากตรวจพบความผิดปกติที่ค่อนข้างรุนแรง เช่นก้อนเนื้อขนาดเล็กในปอด (lung nodules) 18 สัตวแพทย์สามารถแนะนำการรักษาแบบประคับประคองที่จะเกิดประโยชน์กับตัวสัตว์ป่วยและเจ้าของมากที่สุด การใช้ GFAST ในการตรวจจึงเพิ่มความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าของสัตว์และสัตวแพทย์
แมวเป็นสัตว์ที่มีความไวต่อปริมาณของเหลวในร่างกายที่มากเกิน (fluid volume overload) รวมถึงแมวที่มีการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะด้วย 19 ภาวะของเหลวที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เส้นเลือด hepatic vein คั่ง (congestion) effusionที่เยื่อหุ้มปอดหรือถุงหุ้มหัวใจ หรืออาจเกิดผสมกันทั้งหมดที่กล่าวมา 20 การตรวจ GFAST เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานเมื่อสัตว์ป่วยเข้ามาสถานพยาบาลจะเป็นประโยชน์อย่างมาก การใช้ข้อมูลจาก TFAST และ VetBLUE ร่วมกันจะบอกได้ว่า volume overload ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดที่หัวใจห้องซ้ายหรือขวา บางครั้งอาจไม่จำเป็นต้องตรวจ echocardiogram เพิ่มจากการที่เราสามารถตรวจได้จากทางอื่น ภาวะหัวใจห้องซ้ายที่มีปริมาณน้ำมากเกินไปหรือล้มเหลวจะส่งผลให้เกิด pulmonary edema ที่สามารถพบได้จากการตรวจ VetBLUE 20 21 22 ภาวะหัวใจห้องขวาที่มีปริมาณน้ำมากเกินไปหรือล้มเหลวจะส่งผลให้เกิด hepatic venous congestion ซึ่งพบได้จากการดูลักษณะของ caudal vena cava และเส้นเลือด hepatic vein ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ pleural และ pericardial effusion สามารถเกิดพร้อมกันได้กับทั้งสองอาการที่กล่าวมาข้างต้น สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจ TFAST 15 23 24 25 26 หากนำ echocardiogram เข้ามาช่วยในการตรวจจะยิ่งทำให้ผลมีความแม่นยำมากขึ้น
รูปแบบผลการตรวจที่เน้นเป้าหมายจะสร้างความชัดเจนของวัตถุประสงค์ในการตรวจ รวมถึงง่ายในการเปรียบเทียบกับผลตรวจครั้งต่อไป ตัวอย่างผลตรวจสามารถดูได้ที่เวบไซต์ FASTvet.com1 15 27 28
การตรวจคัดกรองช่องท้องด้วยอัลตราซาวด์โดยใช้วิธีกำหนดไว้ควรเป็นทางเลือกแรกของสัตวแพทย์ในการตรวจภาพวินิจฉัย เมื่อพบแมวป่วยที่สงสัยโรคของกระเพาะปัสสาวะหรือการบาดเจ็บที่ช่องท้อง การใช้วิธี AFAST ที่มีการกำหนดมุมมองอะคูสติกไว้แน่นอนร่วมกับการเคลื่อนหัวตรวจที่ถูกต้องจะทำให้ตรวจอวัยวะเป้าหมายได้ ทำให้สามารถประเมินความเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็วและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
Gregory Lisciandro
Dr. Lisciandro qualified from Cornell University, completed a rotating internship in small animal medicine and surgery at The Animal Medical Center, New York อ่านเพิ่มเติม
ทางเลือกในการนำนิ่วในทางเดินปัสสาวะออกโดยรบกวนผู้ป่วยน้อยที่สุดนั้นในปัจจุบันได้กลายเป็น...
การป้องกันและการรักษานิ่วในทางเดินปัสสาวะในแมวนั้นต้องอาศัยการจัดการในหลายปัจจัย
การตรวจคัดกรองภาวะปัสสาวะมีเลือดปน (hematuria) ในแมวสามารถทำได้โดยการเติม...
ภาวะปัสสาวะกะปริบกะปรอยเป็นอาการแสดงที่สัตวแพทย์สัตว์เล็กพบได้บ่อย...