การติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยากลุ่ม Staphylococcus ที่ผิวหนัง
การจัดการกับการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยากลุ่ม Staphylococcus ทางสัตวแพทย์ถือว่ามีความยากในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาต่างๆนั้นสามารถจัดการได้อย่างเป็นขั้นตอนตามคำแนะนำในบทความนี้
หมายเลขหัวข้อ 31.2 Other Scientific
เผยแพร่แล้ว 04/10/2022
สามารถอ่านได้ใน Français , Deutsch , Italiano , Română , Español , English , 한국어 และ Українська
สัตวแพทย์ส่วนมากมักประสบปัญหาในการวินิจฉัยเมื่อพบกับสุนัขที่คาดว่าเป็นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีหรือเรียกอย่างสั้นว่าอะโทปี ในบทความนี้สัตวแพทย์หญิง Ana Rostaher จะมาทบทวนแนวทางต่างๆในการวินิจฉัยสำหรับโรคนี้ (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)
การวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีในปัจจุบันมักสร้างปัญหาแก่สัตวแพทย์เพราะไม่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพ(biomarker)ที่แยกโรคนี้ออกจจากโรคผิวหนังอื่นได้
เมื่อสัตวแพทย์พบสุนัขป่วยที่สงสัยว่าเป็นอะโทปีควรพิจารณาข้อมูลจากหลายแง่มุมไม่ว่าจะเป็นประวัติอาการป่วย ลักษณะรอยโรคทางคลินิกที่พบ และการวินิจฉัยแยกแยะตัดโรคอื่นออก
การทดสอบ intradermal testing หรือ IDT เป็นวิธีการที่สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังนิยมใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยอะโทปีในสุนัขและสามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุได้
การทดสอบ allergen-specific IgE Serology(ASIS) มีข้อได้เปรียบมากกว่า IDT สามารถใช้ทดแทนกันได้ในการวินิจฉัยอะโทปี อย่างไรก็ตามมีข้อเสียเช่นโอกาสการเกิดผลบวกลวงอยู่
เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพหรือ biomarker ที่ให้ความเชื่อมั่นสูงพอที่จะแยก CAD ออกจากโรคผิวหนังชนิดอื่นได้ การวินิจฉัยยืนยัน CAD จึงใช้การตรวจทางคลินิกเป็นหลัก สัตวแพทย์ต้องสามารถแปลผลและพิจารณาข้อมูลจากแง่มุมต่างๆซึ่งรวมถึงประวัติสัตว์ป่วย อาการทางคลินิกที่สำคัญ และการวินิจฉัยแยกโรคผิวหนังอื่นออกไป รูปที่ 1 แสดงถึงกระบวนการวินิจฉัย CAD ขั้นแรกคือการแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้าย CAD ออกไปก่อน เพราะอาการคันที่พบได้บ่อยนั้นไม่จำกัดว่าต้องเกิดจาก CAD เพียงอย่างเดียว สัตวแพทย์ควรคำนึงถึงการวินิจฉัยแยกแยะโรคอื่นได้แก่ การติดเชื้อปรสิตภายนอก การติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อยีสต์แบบทุติยภูมิที่มีสาเหตุจากความผิดปกติที่ไม่ก่อให้เกิดอาการคันเช่นโรคต่อมไร้ท่อและ sebaceous adenitis รวมถึงมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อย(cutaneous lymphoma) ผ่านการซักประวัติและการตรวจเพิ่มเติม (ตารางที่ 1) ลักษณะที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของ CAD ที่อาจสังเกตได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มคืออาการคันที่อาจเกิดโดยไม่ปรากฏรอยโรคหรือมีรอยโรคชนิดปฐมภูมิเช่นผิวแดง(erythema)หรือตุ่ม(papule) เมื่อโรคมีการดำเนินลุกลามมากขึ้นจะพบการติดเชื้อชนิดทุติยภูมิ ตุ่มหนอง(pustule) ขนร่วง excoriation lichenification สะเก็ด และรังแค บริเวณที่พบรอยโรคได้บ่อยในสุนัขที่เป็นอะโทปีได้แก่ใบหน้า ด้านในของใบหู รักแร้ ท้อง ขาหนีบและ/หรือรอบก้นรวมไปถึงปลายเท้า(รูป 2) นอกจากนี้ตำแหน่งรอยโรคที่พบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ 5
การใช้หวีสางหมัด | หมัด |
Skin cytology |
Malassezia dermatitis
Bacterial dermatitis
|
การขูดตรวจผิวหนัง/
ดึงเส้นขนมาตรวจ
|
Scabies
ปรสิตภายนอกอื่นๆเช่น Demodex spp. Cheyletiella spp. Neotrombicula autumnalis
Dermatophytosis
|
การเพาะเชื้อรา | Dermatophytosis |
ตัดชิ้นเนื้อผิวหนังไปตรวจ |
Sebaceous adenitis
Cutaneous lymphoma
|
หลังจากที่ทำกการตัดสาเหตุความเป็นไปได้อื่นออกแล้ว สัตวแพทย์จึงนำเกณฑ์มาตรฐานในการวินิจฉัย CAD ที่เรียกว่า Favrot’s criteria มาใช้ในการแปลผลอาการคันของสุนัข(ตารางที่ 2) Favrot’s criteria ไม่ควรนำมาใช้ก่อนที่จะทำการตัดสาเหตุอื่นออกเพราะถึงแม้ว่าร้อยละ 80 ของสุนัขที่เข้าข่ายเกณฑ์ขั้นต่ำ 5 ข้อจะเป็นอะโทปีแต่อีกร้อยละ 20 มีสาเหตุจากโรคอื่น ในทางกลับกันสุนัขที่เป็นอะโทปีร้อยละ 20 อาจไม่แสดงอาการที่อยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำถึง 5 ข้อ
Favrot’s criteria ตัวชี้วัดหลัก 8 ประการสำหรับ CAD 5 |
---|
ประวัติสัตว์ป่วย |
|
การตรวจร่างกาย |
|
เกณฑ์อาการเพิ่มเติมที่จำเพาะต่อ CAD |
ตำแหน่งของร่างกายที่อาจพบรอยโรค
การติดเชื้อที่ผิวหนังหรือช่องหูชนิดกลับมาเป็นซ้ำ
|
เมื่อสัตวแพทย์ทำการวินิจฉัยยืนยันได้แล้วว่าสุนัขป่วยด้วยโรคอะโทปี ประการถัดมาคือการตรวจเพิ่มเติมเพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นให้สุนัขแสดงอาการทางคลินิก วิธีการนี้จะช่วยในการวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสารก่อภูมิแพ้ในอาหารและไรฝุ่น นอกจากนี้ยังช่วยในการเลือกสารก่อภูมิแพ้เพื่อการรักษาด้วยวิธี antigen-specific immunotherapy โดยทั่วไปแล้วหากสุนัขแสดงอาการของ CAD ตามฤดูกาลส สัตวแพทย์ควรทำการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมโดยทันที แต่ในกรณีของสุนัขที่แสดงอาการของ CAD ที่ไม่ขึ้นกับฤดูกาล และ/หรือแสดงอาการของโรคระบบทางเดินอาหาร ควรทำการวินิจฉัยตัดความเป็นไปได้ของโรคผิวหนังอักเสบที่มีสาเหตุจากอาหารก่อนที่จะทำการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม วิธีที่ผู้เขียนบทความนิยมใช้คือการให้สุนัขกินอาหารสำเร็จรูปที่ทำจากไฮโดรไลซ์โปรตีนเพื่อการทดสอบอาหาร หากอาการทางคลินิกของ CAD ไม่ดีขึ้นจึงทำการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมโดยอาจทำการทดสอบที่ผิวหนังโดยตรง(intradermal test; IDT) หรือการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเพื่อดู allergen-specific IgE(ASIS) สาเหตุที่ทำให้สัตวแพทย์ควรทำการทดสอบการแพ้นอกเหนือจากการที่สุนัขไม่ตอบสนองต่อการทดสอบอาหารคือการที่สุนัขมีอาการของโรคที่รุนแรงโดยมีอาการมากกว่า 3 เดือนในแต่ละปีหรือเมื่อการรักษาตามอาการไม่ประสบผลสำเร็จซึ่งอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาหรือการขาดความร่วมมือจากเจ้าของสุนัข 6
สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ IDT และ ASIS ไม่สามารถใช้เป็นการวินิจฉัยยืนยัน CAD แต่ใช้เพื่อการสนับสนุนข้อวินิจฉัยที่ได้และเพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้ สุนัขที่เป็น CAD ส่วนมากจะพบว่ามีระดับของ allergen-specific IgE ต่อสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น แต่ในบางกรณีพบว่าระดับ IgE ไม่มีการเปลี่ยนแปลง(atopic-like dermatitis)
การทดสอบทั้งสองวิธีนั้นต่างมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดที่ต่างกันโดยที่ไม่มีการทดสอบใดเหนือกว่า จากอัตราความสำเร็จของการรักษาด้วยวิธี allergen-specific immunotherapy(ASIT)พบว่าผลของทั้งสองวิธีนั้นดีพอกัน 7 จึงอาจกล่าวได้ว่าทั้งสองวิธีเสริมซึ่งกันและกัน ผู้เขียนบทความนิยมทำการทดสอบที่ผิวหนังและในห้องปฏิบัติการ(ASIS)หากไม่มีข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย หรือเว้นแต่ว่าการทดสอบที่ผิวหนังมีความเสี่ยง/สุนัขไม่ให้ความร่วมมืออาจเลือกทำ ASIS มาเป็นอันดับแรกก่อน หากผลการทดสอบทั้งสองวิธีนั้นไม่สามารถสรุปผลได้ให้ใช้ผลจากทั้งสองวิธีในการทำ ASIT หรืออ้างอิงจากผลของ ASIS เป็นหลักในการทำ ASIT ทั้งนี้การทดสอบทั้งสองวิธีต้องอาศัยการเลือกสารก่อภูมิแพ้ที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดซึ่งต้องอาศัยการซักประวัติและวิจารณญานของสัตวแพทย์
ปัจจุบันการทดสอบ skin prick test เริ่มกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งแต่ยังไม่ได้รับการยอมรับให้ใช้ในทางสัตวแพทย์ นอกจากนี้ยังมีชุดทดสอบโดยใช้น้ำลายจำหน่ายแต่ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ยังไม่สามารถแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยได้
IDT เป็นการวัดปริมาณการตอบสนองของ mast cell ที่บริเวณผิวหนังทางอ้อมโดยขึ้นกับการมีอยู่ของ allergen-specific IgE บริเวณผิวเซลล์ วิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักตจวิทยา สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ mast cell สามารถจับกับ allergen-specific molecule ได้นานมากกว่าหนึ่งปี 8 ข้อมูลเกี่ยวกับความไว(sensitivity)และความจำเพาะ(specificity)ของ IDT มีไม่มากแต่มีรายงานกล่าวว่าน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 30-90 และมากกว่าร้อยละ 50-95 ตามลำดับ 6 9 อย่างไรก็ตามการประเมินอย่างแม่นยำทำได้ยากเพราะมีปัจจัยภายในเช่นองค์ประกอบด้านภูมิคุ้มกันของสุนัขป่วยและปัจจัยภายนอกเช่นคุณภาพของสารก่อภูมิแพ้ ทักษะในการทำ IDT ของสัตวแพทย์ ฤดูกาล และการใช้ยา
การเลือกสารก่อภูมิแพ้เพื่อทำการทดสอบขึ้นอยู่กับแหล่งที่อยู่ทางภูมิศาสตร์ของสุนัข ร่วมกับแหล่งข้อมูลอื่นจากสถานพยาบาลสัตว์เฉพาะทาง คลินิกโรคภูมิแพ้ในคน ห้องปฏิบัติการด้านภูมิแพ้ หรือหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตามควรมีการทบทวนตัวเลือกที่ใช้เป็นระยะโดยการลดหรือเพิ่มรายชื่อสารก่อภูมิแพ้ตามความเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่นในรายชื่อสารก่อภูมิแพ้เพื่อการทำ IDT ที่ผู้เขียนบทความเลือกมาในครั้งแรก ประกอบด้วยสารก่อภูมิแพ้ 43 ชนิด จากนั้นทำการตัดลดลงเหลือสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมเพียง 13 ชนิดที่พบได้บ่อย(กล่องข้อความที่ 1) ทั้งยังสอดคล้องกับสารก่อภูมิแพ้ที่ใช้ในคลินิกโรคภูมิแพ้ในคน การลดสารก่อภูมิแพ้ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของ ASIT ลดลงในช่วงเวลา 7 ปี
หญ้า : Phleum pratense Dactylis glomerata และ Secale cereale
ต้นไม้ : Fraxinus spp. และ Betula spp.
วัชพืช : Rumex crispus Chenopodium album Plantago lanceolata Ambrosia spp. และ Artemisia vulgaris
|
ขั้นตอนในการทำ IDT สามารถใช้สารก่อภูมิแพ้ในรูปแบบ lyophilized หรือ สารละลายที่ทำการเจือจางแล้วสำหรับการทำภูมิคุ้มกันบำบัด(immunotherapy)ที่มีอายุการใช้งาน 6- 12 เดือน และนำมาเจือจางเพิ่มอีกดังในตารางที่ 3 สารก่อภูมิแพ้ที่เตรียมไว้แล้วสามารถเก็บได้นาน 2 สัปดาห์ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสในกระบอกฉีดยาพลาสติกหรือ ที่ 8 สัปดาห์ในหลอดแก้ว หากนานกว่าสารสกัดของสารก่อภูมิแพ้นั้นจะเกิดการเสื่อมตามเวลาที่ผ่านไป 9 การเจือจาง และอุณหภูมิที่สูง ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ผสมกับ glycerin ซึ่งนิยมใช้ในการทำ skin prick test ในคนเพราะอาจก่อการระคายเคืองจากวัตถุกันเสียได้
สารก่อภูมิแพ้ | ความเข้มข้น/การเจือจางที่แนะนำ |
ละอองจากพืช | 1000 to 8000 PNU**/mL |
เชื้อรา | 1000 to 8000 PNU/mL |
ไรฝุ่น: |
|
D. pteronyssinus
|
100–200 PNU/mL
|
D. farinae
Tyrophagus putrescentiae
Lepidoglyphus destructor
|
75 PNU/mL
|
Acarus siro
Blomia tropicalis
|
50 PNU/mL
|
สารสกัดจากผิวชั้นนอก(epidermal extracts) |
อย่างน้อย 1,250 PNU/mL
300 PNU/mL สำหรับ human dander
|
สารสกัดจากหมัดทั้งตัว |
1:500 w/v |
คำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำ IDT สำหรับสุนัขที่มีอาการตามฤดูกาลแนะนำให้ทำหลังจากหมดช่วงอาการรุนแรงที่สุดหรือภายใน 2 เดือนหลังจากที่สุนัขแสดงอาการรุนแรงที่สุด 10 เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะไม่ตอบสนองต่อภูมิคุ้มกัน(anergy)และช่วงที่มีระดับ IgE ต่ำเกินไปนอกฤดูกาล แต่พบว่าสุนัขบางตัวมีการตอบสนองต่อการทำ IDT แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่อาการรุนแรงที่สุด สุนัขที่แสดงอาการโดยไม่ขึ้นกับฤดูกาลสามารถทำการทดสอบช่วงเวลาใดก็ได้
การทำ IDT ไม่จำเป็นต้องวางยาซึมสุนัข สามารถให้สุนัขยืนหรือนอนตะแคง(lateral recumbency) โดยผู้เขียนบทความชอบให้สุนัขยืนมากกว่า การใช้ยาซึมบางชนิดอาจส่งผลให้ IDT แสดงผลเป็นลบได้เช่น oxymorphone ketamine/diazepam acepromazine และ morphine จึงควรหลีกเลี่ยงเท่า แต่สามารถใช้ xylazine medetomidine (dexmedetomidine) tiletamine/zolazepam thiamylal halothane isoflurane และ methoxyflurane ได้อย่างปลอดภัย 6 การใช้ propofol ในการวางยาซึมเพื่อทดสอบ IDT ยังเป็นที่ถกเถียงจึงไม่แนะนำให้ใช้ นอกจากนี้การใช้ยาบางอย่างอาจส่งผลให้เกิดผลลบลวงจึงต้องมีการหยุดใช้ยาช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะทำ IDT ตามตารางที่ 4
ชื่อยา/กลุ่มยา | IDT* |
ASIS*** |
แอนตี้ฮิสตามีน | 7 วัน | อาจไม่จำเป็น |
Glucocorticoid ที่ออกฤทธิ์สั้น | 14 วัน | ไม่จำเป็น |
Glucocorticoid ที่ออกฤทธิ์นาน | < 28 วัน | < 28 วัน |
Glucocorticoid ชนิดทาภายนอก | 14 วัน | ไม่จำเป็น |
Cyclosporine | อาจไม่จำเป็น | ไม่จำเป็น |
Oclacitinib | อาจไม่จำเป็น | อาจไม่จำเป็น |
Lokivetmab | ไม่จำเป็น | ไม่จำเป็น |
Pentoxyfilline | ไม่จำเป็น | ไม่จำเป็น |
ตำแหน่งของผิวหนังที่นิยมใช้เพื่อทำการทดสอบคือด้านข้างช่องอก ทำการโกนขนออกอย่างระมัดระวังโดยพื้นที่ทำการโกนขึ้นอยู่กับจำนวนสารก่อภูมิแพ้ที่ใช้ ไม่ควรทำการสครับหรือล้างบริเวณที่โกน ทำเครื่องหมายตำแหน่งที่ทำการฉีดสารแต่ละตำแหน่งด้วยปากกากันน้ำห่างกันอย่างน้อยตำแหน่งละ 2 เซนติเมตร ฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่เตรียมไว้ปริมาณ 0.05 mL เข้าในชั้นผิวหนัง(intradermal)(รูป 3a) ผิวหนังควรมีลักษณะปูดนูนขึ้นมา หากไม่พบการนูนของผิวหนังอาจเกิดจากการฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง(subcutaneous) ให้ทำการฉีดซ้ำ
ทำการประเมินปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น 15-20 นาทีหลังฉีด โดยดูการเกิด wheal และ erythema ในแต่ละตำแหน่งการฉีด เทียบกับตำแหน่งที่ตำแหน่งควบคุมผลลบและบวก(รูป 3b) ให้คะแนนแต่ละตำแหน่งจาก 0(เทียบเท่ากับตำแหน่งควบคุมผลลบ) จนถึง 4 (เทียบเท่าตำแหน่งควบคุมผลบวก) ปฏิกิริยาที่ได้ผลตั้งแต่ 2 ขึ้นไปถือว่าให้ผลเป็นบวก ถึงแม้ว่าจะสามารถวัดปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเป็นเซนติเมตรได้ แต่ไม่พบผลดีอย่างเด่นชัดจากวิธีนี้ 6 ผู้เขียนบทความนิยมประเมินผลที่ได้ด้วยสายตา
ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการทดสอบพบได้ยาก หากพบมักจะเป็นช่วงระหว่างการทำการทดสอบซึ่งมักแสดงออกเป็นอาการคันอย่างรุนแรงบริเวณที่ทำการฉีด(ปฏิกิริยาภูมิไวเกินเฉพาะที่) สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการทายากลุ่มสเตียรอยด์เป็นช่วงสั้นๆ หรือการให้ยาลดการอักเสบหรืออาการคันเข้าทางระบบ การเกิด anaphylaxis(คันทั่วตัว อาเจียน ถ่ายเหลว หรือหมดสติ) พบได้ยากแต่ควรมีการจัดการรับมืออย่างเหมาะสม
* IDT: Intradermal testing
** PNU: Protein Nitrogen Units
*** ASIS: Allergen-specific IgE serology
Ana Rostaher
การทดสอบ ASIS ในห้องปฏิบัติการถูกใช้ในทางสัตวแพทย์อย่างแพร่หลายเพราะมีข้อได้เปรียบมากกว่า IDT หลายประการซึ่งรวมถึงการหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิต(การวางยาซึม/สลบ และอาการแพ้ที่รุนแรง) ความสะดวก(ไม่ต้องโกนขน ไม่ต้องบังคับ ใช้เวลาน้อยกว่า) โอกาสที่ผลการทดสอบจะได้รับผลกระทบจากยาที่ใช้อยู่ 9 ครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบมีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น solid-state RAST หรือ ELISA(อย่างหลังมีการใช้มากกว่า) หรือ liquid-phase immunoenzymatic assay 9 ในการเปิดตัววิธีทดสอบในช่วงแรกพบว่ามีข้อเสียหลายประการเช่นความจำเพาะที่ต่ำแต่ได้มีการแก้ไขและพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาร reagent ที่ทำหน้าที่ตรวจจับ anti-canine IgE ทำให้ความแม่นยำในการวินิจฉัยสูงขึ้น 11 ข้อจำกัดอื่นๆของ ASIS ได้แก่ความแปรปรวนของผลที่ได้ภายในและระหว่างห้องปฏิบัติการและการเกิดปฏิกิริยาข้ามกัน 12 นอกจากยังมีข้อมูลเมื่อเร็วนี้เกี่ยวกับการมีอยู่ของ IgE antibody ต่อ cross-reactive carbohydrate determinant(anti - CCD antibody)อาจมีส่วนทำให้เกิดผลบวกลวงได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีละอองจากพืช 13 การยับยั้ง anti-CCD antibody ส่งผลให้ความเชื่อมโยงกันระหว่าง IDT และ ASIS ในสุนัขสูงมากขึ้น 12 และลดปฏิกิริยาเชิงบวกต่อละอองพืชในแมวอย่างเห็นได้ชัด 14 ความสำคัญเชิงคลินิกคือการที่ผลจาก ASIT ไม่ขึ้นกับการเลือกสารก่อภูมิแพ้เพื่อทำ ASIS 9 และจากที่ได้กล่าวด้านบนว่าประสิทธิภาพของการรักษาด้วย ASIT นั้นให้ผลดีไม่ว่าจะทำการเลือกสารก่อภูมิแพ้จากผล IDT หรือ ASIS ทำให้ ASIS กลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับสัตวแพทย์ทั่วไปที่ IDT อาจทำได้ยากไม่ว่าจะเป็นในสถานพยาบาลเองหรือสถานพยาบาลที่ส่งต่อ
การทดสอบ skin prick test เป็นตัวเลือกแรกในการวินิจฉัย type 1 hypersensitivity ของอะโทปีในคนด้วยสาเหตุหลายประการเช่น สารก่อภูมิแพ้อยู่ในรูปแบบที่ราคาไม่แพง(สารก่อภูมิแพ้ที่ผสมกับ glycerin จะมีความคงตัวนานมากขึ้น) การแปลผลอย่างรวดเร็ว การไร้ผลข้างเคียง และความจำเพาะของการทดสอบที่สูง 15 นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความเจ็บปวดน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
รายงานเกี่ยวกับการทดสอบ skin prick test มีย้อนไปได้ถึงช่วงทศวรรษ 1990 16 โดยสรุปว่าผลที่ได้นั้นไม่ดีเมื่อเทียบกับการทำ IDT ทำให้ไม่มีการนำการทดสอบนี้มาใช้ในทางคลินิกปฏิบัติอีก อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มีการหันเหความสนใจมาสู่การทดสอบนี้อีกครั้งโดยมีการประเมินข้อดีของการทดสอบในสุนัขและแมว การศึกษาหนึ่งทำในสุนัขที่มีสุขภาพดีจำนวน 20 ตัว โดยใช้สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม 8 ชนิด 17 ไม่พบสัญญาณจากสุนัขที่แสดงถึงความไม่สบายตัวหรือความเจ็บปวดขณะทำการทดสอบที่ค่อนข้างง่าย(ระยะเวลาในการทดสอบเฉลี่ยอยู่ที่ 5 นาที รวมการโกนขนและการใส่สารก่อภูมิแพ้) ความรุนแรงของผลบวกมีขนาดตั้งแต่ 3-12 มิลลิเมตร(เฉลี่ยที่ 9 มิลลิเมตร) แต่การทดลองนี้ทำแค่เพียงประเมินค่าที่ได้จากสุนัขที่มีสุขภาพดีเท่านั้น ในการศึกษาที่คล้ายกันอีกชิ้นหนึ่งทำการหาความไวและความจำเพาะของวิธีการนี้โดยใช้สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมที่พบได้ทั่วไป 11 ชนิดในสุนัขที่ไม่มีอาการแพ้และสุนัขที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นอะโทปี 18 พบว่าค่าความไวอยู่ที่ร้อยละ 66(สามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุของอาการได้ในสุนัข 3 ตัว จากทั้งหมด 5 ตัว โดยอีก 2 ตัวที่เหลือพบผลลบลวง)และมีค่าความจำเพาะร้อยละ 100 (ไม่พบผลบวกลวง) ถึงแม้จะยังไม่มีการยอมรับให้ใช้ในทางสัตวแพทย์เพื่อการวินิจฉัยภูมิแพ้ แต่การทำ skin prick test อาจมีประโยชน์และนำมาใช้มากขึ้นในอนาคตร่วมกับการทดสอบอื่นๆเพื่อวินิจฉัย CAD ผู้เขียนบทความใช้การทดสอบนี้เป็นหลักในการยืนยันปฏิกิริยาภูมิไวเกินที่รุนแรงต่อพิษของแมลงวงศ์ Hymenoptera(ผึ้งและต่อ) 19 ทำตามขั้นตอนในรูป 4
สุดท้ายคือการทดสอบโดยใช้น้ำลายและเส้นขนเพื่อวินิจฉัยภาวะแพ้อาหาร(adverse food reaction; AFR)และการแพ้สิ่งแวดล้อมซึ่งวางจำหน่ายในบางประเทศ แต่จากการศึกษาในสุนัขพบว่าการทดสอบเหล่านี้ขาดความไวและความจำเพาะ 20 21 22 จึงไม่แนะนำให้ใช้
การวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีสามารถทำได้โดยอาศัยข้อมูลจากการซักประวัติสัตว์ป่วย การตรวจร่างกายและการวินิจฉัยแยกแยะตัดโรคอื่นออก ไม่มีการทดสอบทางห้องปฏิบัติการที่สามารถวินิจฉัยอะโทปีได้ สัตวแพทย์จึงไม่ควรพึ่งพาผลจากห้องปฏิบัติการมากจนเกินไปเพื่อลดโอกาสการวินิจฉัยผิดพลาด การระบุสารก่อภูมิแพ้กรณีของอะโทปีเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการในระยะยาว เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่สัตว์ป่วย
เข้าทำเเบบทดสอบเพื่อสะสม VET-CE ภายในวันที่ 15 ต.ค.-15 ธ.ค. 2022
Hillier A, Griffin CE. The ACVD task force on canine atopic dermatitis (I): incidence and prevalence. Vet Immunol Immunopathol 2001;81:147-151.
Nuttall TJ, Marsella R, Rosenbaum MR, et al. Update on pathogenesis, diagnosis, and treatment of atopic dermatitis in dogs. J Am Vet Med Assoc 2019;254:1291-1300.
Hill PB, Moriello KA, DeBoer DJ. Concentrations of total serum IgE, IgA, and IgG in atopic and parasitized dogs. Vet Immunol Immunopathol 1995;44:105-113.
Rostaher A, Dolf G, Fischer NM, et al. Atopic dermatitis in a cohort of West Highland White Terriers in Switzerland. Part II: estimates of early life factors and heritability. Vet Dermatol 2020;31:276-e266.
Favrot C, Steffan J, Seewald W, et al. A prospective study on the clinical features of chronic canine atopic dermatitis and its diagnosis. Vet Dermatol 2010;21:23-31.
Hensel P, Santoro D, Favrot C, et al. Canine atopic dermatitis: detailed guidelines for diagnosis and allergen identification. BMC Vet Res 2015;11:196.
Park S, Ohya F, Yamashita K, et al. Comparison of response to immunotherapy by intradermal skin test and antigen-specific IgE in canine atopy. J Vet Med Sci 2000;62:983-988.
Ansotegui IJ, Melioli G, Canonica GW, et al. IgE allergy diagnostics and other relevant tests in allergy, a World Allergy Organization position paper. World Allergy Organ J 2020;13:100080.
Marsella R. Hypersensitivity disorders. In: Miller HW, Griffin CE, Campbell KL, eds. Muller & Kirk’s Small Animal Dermatology. 7th ed. St. Louis Missouri: Elsevier Mosby, 2013;363-431.
Hillier A, DeBoer DJ. The ACVD task force on canine atopic dermatitis (XVII): intradermal testing. Vet Immunol Immunopathol 2001;81:289-304.
Stedman K, Lee K, Hunter S, et al. Measurement of canine IgE using the alpha chain of the human high affinity IgE receptor. Vet Immunol Immunopathol 2001;78:349-355.
Gedon NKY, Boehm T, Klinger CJ, et al. Agreement of serum allergen test results with unblocked and blocked IgE against cross-reactive carbohydrate determinants (CCD) and intradermal test results in atopic dogs. Vet Dermatol 2019;30:195-e161.
Piccione ML, DeBoer DJ. Serum IgE against cross-reactive carbohydrate determinants (CCD) in healthy and atopic dogs. Vet Dermatol 2019;30:507-e153.
Mohammaddavoodi A, Panakova L, Christian M, et al. Prevalance of immunoglobulin E against cross-reactive carbohydrate determinants (CCD) and impact of a blocker in seasonal allergy tests. Tierarztl Prax Ausg K Kleintiere Heimtiere 2020;48:404-409.
Bousquet J, Heinzerling L, Bachert C, et al. Practical guide to skin prick tests in allergy to aeroallergens. Allergy 2012;67:18-24.
Ballauf B. Vergleich von Intrakutan- und Pricktest in der Allergiediagnostik beim Hund. Tierärztl Prax 1991;19:428-430.
Carnett MJH, Plant JD. Percutaneous prick test irritant threshold concentrations for eight allergens in healthy nonsedated dogs in the USA. Vet Dermatol 2018;29:117-e147.
Carmona-Gil AM, Sanchez J, Maldonado-Estrada J. Evaluation of skin prick-test Reactions for allergic sensitization in dogs with clinical symptoms compatible with atopic dermatitis; a pilot study. Front Vet Sci 2019;6;448.
Rostaher A, Mueller R, Meile L, et al. Venom immunotherapy for hymenoptera allergy in a Dog. Vet Dermatol 2021;32(2):206-e52.
Coyner K, Schick A. Hair and saliva test fails to identify allergies in dogs. J Small Anim Pract 2019;60:121-125.
Lam ATH, Johnson LN, Heinze CR. Assessment of the clinical accuracy of serum and saliva assays for identification of adverse food reaction in dogs without clinical signs of disease. J Am Vet Med Assoc 2019;255:812-816.
Vovk LU, Watson A, Dodds WJ, et al. Testing for food-specific antibodies in saliva and blood of food allergic and healthy dogs. Vet J 2019;249:89-89.
Ana Rostaher
อายุรศาสตร์สัตว์เลี้ยง, Vetsuisse Faculty, University of Zurich, สวิตเซอร์แลนด์ อ่านเพิ่มเติม
การจัดการกับการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยากลุ่ม Staphylococcus ทางสัตวแพทย์ถือว่ามีความยากในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาต่างๆนั้นสามารถจัดการได้อย่างเป็นขั้นตอนตามคำแนะนำในบทความนี้
อาการไม่พึงประสงค์จากอาหารนั้นมักจะคล้ายคลึงกับความผิดปกติทางผิวหนังอื่นๆ การมีความรู้ที่ดีเกี่ยวกับพยาธิวิทยาและตัวเลือกในการวินิจฉัยนั้นจะเป็นกุญแจที่นำไปสู่ความสำเร็จในการรักษาอาการไม่พึงประสงค์จากอาหาร
ในช่วงที่ผ่านมาได้มีสารเคมีชนิดใหม่หลายชนิดถูกนำมาใช้เพื่อการป้องกันปรสิตภายภายนอก
สัตวแพทย์มีโอกาสพบสุนัขที่มาด้วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีได้บ่อยครั้งในการทำงาน